งาดำ มีคุณประโยชน์มากมาย การรับประทานเป็นอาหารเพื่อสุขภาพอย่างต่อเนื่องเป็นประจำ จะช่วยเสริมสร้างสุขภาพให้แข็งแรง อุดมไปด้วยวิตามินและแร่ธาตุต่างๆ สามารถช่วยบำรุงร่างกายเกือบทุกสัดส่วน ไม่ว่าจะเป็น กระดูก ระบบขับถ่าย การบำรุงหัวใจ จึงเหมาะกับทุกวัย แม้กระทั่งเด็ก หรือผู้หญิงที่กำลังก้าวเข้าสู่วัยทอง งาดำจะจำเป็นอย่างมาก เพราะจะช่วยป้องกันโรคภาวะกระดูกพรุนอย่างเป็นอย่างดี

งาดำ สายพันธุ์ไทยที่ถูกวิจัยกว่า 16 ปี

เรียกได้ว่าเป็นกระแสแรงมากในตอนนี้กับงาดำ ที่มีการวิจัยมากว่า 16 ปี กับสายพันธุ์อุบลราชธานี 3  จนได้สายพันธุ์ที่ดีเพราะมีสารสำคัญที่สูงมาก เพราะเป็นธัญพืชอีกชนิดหนึ่งที่อุดมไปด้วยแคลเซียม ซึ่งสายพันธุ์นี้มีแคลเซียมมากกว่านมวันถึง 8 เท่า มีเซซามิน และสารต้านอนุมูลอิสระ  นอกจากนี้ก็ยังมีสังกะสีที่ช่วยเสริมสร้างความแข็งแรงของกระดูก ช่วยเพิ่มมวลกระดูก จึงเหมาะกับคนทุกเพศทุกวัย ซึ่งวิจัยแล้วว่าสายพันธุ์อุบลราชธานี 3 ได้สรรพคุณสูงกว่าสายพันธ์ุอื่นๆ

เพราะเหตุนี้เองผลิตภัณฑ์เสริมอาหารโปรทริว่า แบล็คซีดส์ จึงเลือกใช้งาดำสายพันธุ์นี้เป็นตัวช่วย สำหรับผู้ที่มีปัญหาอาการปวดบริเวณข้อต่อ และกระดูกโดยเฉพาะ นอกจากนี้ในโปรทริว่า แบล็คซีดส์ยังใช้สกัดเย็นเพียว 100% ซึ่งได้สารสำคัญเต็มๆ ผ่านโรงงานการผลิตเกรดยา หรือฟาร์มาซูติคอลเกรด ปลอดภัย มีมาตรฐานสากล ผลิตออกมาในรูปแบบเม็ดซอฟต์เจล ทานง่าย ดูดซึมไว รับประทานได้ทุกวัน

เพราะกว่าจะเป็นโปรทริว่า แบล็คซีดส์ น้ำมันงาดำสกัดเย็นเกรดพรีเมียมกระปุกนี้ได้ไม่ใช่เรื่องง่าย ทุกกระบวนการ ทุกขั้นตอนการผลิตด้วยวัตถุดิบจากธรรมชาติ อย่างพิถีพิถันเพื่อดูแลสุขภาพข้อ กระดูกเป็นสำคัญ และไม่ส่งผลต่อตับ และไตแม้ทานติดต่อกันเป็นเวลานาน

ผลิตภัณฑ์โปรทริว่า แบล็คซีดส์ 

  • คนที่มีอาการปวดข้อ ปวดเข่า
  • ออฟฟิสซินโดรม
  • ปวดคอ บ่าไหล่
  • เจ็บตึงกล้ามเนื้อ
  • รูมาตอยด์
  • กระดูกทับเส้นประสาท
  • ปวดสะโพกร้าวลงขา
  • ขาเข่าผิดรูป
  • นั่งขัดสมาธิไม่ได้

อย่างไรก็ตามหลังจากที่โปรทริว่า แบล็คซีดส์ น้ำมันสกัดเย็นตัวนี้ ได้ออกจัดจำหน่ายและไปร่วมออกบูธที่โรงพยาบาลชั้นนำต่างๆ ผลตอบรับจากผู้ที่ทานกลับมารีวิวจริง ต่างพูดเป็นเสียงเดียวกันว่าสามารถดูแลข้อต่อ และกระดูกได้เป็นอย่างดี สำหรับผู้ที่มีปัญหาดังกล่าวแนะนำให้ทานผลิตเสริมอาหารจากธรรมชาติ ถือเป็นอีกทางเลือกในการดูแลสุขภาพในระยะยาว ปลอดภัยจากผลข้างเคียงที่จะตามมา

ถิ่นกำเนิดงาดำ

งาดำมีถิ่นกำเนิดในทวีปแอฟริกา บริเวณประเทศเอธิโอเปีย แล้วแผ่กระจายไปยังอินเดีย จีน และประเทศต่างๆในแถบเอเชียรวมถึงประเทศไทยด้วย ส่วนในประเทศอินเดียมีการระบุว่ามีการปลูกงามาแล้วหลายพันปี ก่อนที่พ่อค้าชาวอาหรับ และเมดิเตอร์เรเนียลจะนำงาไปปลูกแถบอาหรับ และ ยุโรป

นอกจากนี้ยังมีผู้พบหลักฐานว่า ชาวบาบิโลนในประเทศโซมาเลียมีการปลูกงามานานกว่า 2,500 ปี ก่อนคริสตกาล และใช้นํ้ามันงาสำหรับทำยา และอาหาร ซึ่งมีบันทึกใน Medical Papyrus of Thebes กล่าวว่า ทหารโรมันได้นำงาไปปลูกในประเทศอิตาลีในคริสศตวรรษที่ 1 แต่ปรากฏว่าสภาพภูมิอากาศไม่เหมาะกับการปลูก และในช่วงปลายศตวรรษที่17 และ18 มีการนำงามาปลูกในประเทศสหรัฐอเมริกาโดยทาสชาวแอฟริกัน

ด้านการใช้ประโยชน์จากงาดำนั้นอินเดีย จีน และประเทศอื่นๆ ในแถบเอเซียจะใช้งาทำเป็นนํ้ามันเพื่อปรุงอาหาร ส่วนชาวยุโรปจะนำงามาทำเค้ก ไวน์ และนํ้ามัน รวมถึงใช้ในการปรุงอาหาร และเป็นเครื่องหอม ส่วนชาวแอฟริกันใช้ใบงาทำ ดอกไม้เพลิง และพอกผิวหนัง และใช้เป็นสารไล่แมลงให้สัตว์เลี้ยงเป็นต้น

จัดเป็นพืชที่มีคุณประโยชน์มากมาย การรับประทานเป็นอาหารเพื่อสุขภาพอย่างต่อเนื่องเป็นประจำ จะช่วยเสริมสร้างสุขภาพให้แข็งแรง อุดมไปด้วยวิตามินและแร่ธาตุต่างๆเช่น แคลเซียม แมกนีเซียม โพแทสเซียม โซเดียม ฟอสฟอรัส สังกะสี เหล็ก เป็นต้น โดยสามารถช่วยบำรุงร่างกายเกือบทุกสัดส่วน ไม่ว่าจะเป็น กระดูก ระบบขับถ่าย การบำรุงหัวใจ จึงเหมาะกับทุกวัย แม้กระทั่งเด็ก หรือผู้หญิงที่กำลังก้าวเข้าสู่วัยทอง งาดำจะจำเป็นอย่างมาก เพราะจะช่วยป้องกันโรคภาวะกระดูกพรุนอย่างเป็นอย่างดี

งาดำ

การศึกษาเกี่ยวกับสรรพคุณของงาดำและงาขาว

ที่ช่วยรักษาอาการไอ เป็นการทดลองในเด็กอายุ 2-12 ปี จำนวน 107 คน ที่มีอาการไอจากโรคหวัด โดยให้รับประทานน้ำมันงา 5 มิลลิลิตรก่อนนอนติดต่อกัน 3 วัน เพื่อลดความรุนแรงและความถี่ของการไอ ผลลัพธ์พบว่าในวันแรกอาการไอของเด็กที่รับประทานน้ำมันงาดีขึ้นกว่ากลุ่มรับประทานยาหลอก แต่อยู่ในระดับไม่มากนัก และเมื่อผ่านไป 3 วัน เด็กทั้ง 2 กลุ่มต่างมีอาการดีขึ้น และไม่พบว่าการใช้น้ำมันงาก่อให้เกิดผลข้างเคียงใด ๆศึกษาวิจัยผู้ป่วยที่บาดเจ็บในโรงพยาบาลทั้งหมด 150 คน โดยกลุ่มหนึ่งให้การรักษาด้วยการทาน้ำมันงาควบคู่ไปกับการรักษาปกติ ส่วนอีกกลุ่มให้การดูแลรักษาปกติเพียงอย่างเดียว ผลปรากฏว่าน้ำมันงาช่วยลดความรุนแรงของความเจ็บและส่งผลให้คนไข้รับประทานยาแก้ปวดน้อยลง

คณะแพทย์ศาสตร์มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ได้ค้นพบว่าในเมล็ดงาดำ มีสารเซซามินอยู่ภายในซึ่งสารตัวนี้สามารถที่จะช่วยในการยับยั้งการพัฒนาเซลล์ต้นกำเนิดของเซลล์สลายกระดูก ที่ให้เกิดโรคข้อเสื่อม โรคกระดูกพรุน ได้โดยจะเข้าไปทำให้แคลเซียมประสานกับกระดูกเพิ่มมากขึ้นนอกจากนี้ยังช่วยในเรื่องของโรคสมอง ไม่ว่าจะเป็นเส้นเลือดอุดตันในสมองเส้นเลือดแตก ที่ทำให้เป็นโรคอัมพฤกษ์ อัมพาตโดยสารเซซามินจะเข้าไปช่วยปกป้องเซลล์ประสาทที่ยังดีอยู่ และช่วยฟื้นฟูเซลล์ประสาทที่เสื่อมสภาพสุดท้ายก็เป็นโรคมะเร็ง ที่ถือเป็นโรคที่เกิดมากเป็นอันดับ 1 ในขณะนี้ซึ่งเซลล์มะเร็งนั้นจะแพร่กระจายไปอย่างรวดเร็วเพราะมีเส้นเลือดใหม่ที่เกิดขึ้นมาแล้วไปสร้างการหล่อเลี้ยงให้กับเซลล์มะเร็งนั้นๆ จากนั้นก็จะแพร่กระจายไปเรื่อยซึ่งสารเซซามิน ก็จะเข้าไปปกป้องเซลล์พร้อมกับตัดวงจรหรือลดเส้นเลือดใหม่ที่เป็นน้ำเลี้ยงให้กับเซลล์มะเร็งพร้อมกับค่อยๆ ฟื้นฟูสภาพเซลล์ให้กลับคืนมา

โดยผลการวิจัยในห้องทดลองที่ได้ร่วมกับนักศึกษาปริญญาโท ได้ทดสอบกับไข่ไก่ที่ปกติจากนั้นได้ทำการฉีดเซลล์หรือสารพิษเข้าไป ก็พบว่าไข่ไก่จะเกิดอาการเป็นพิษหรือคล้ายกับการเป็นมะเร็ง จากนั้นก็ทำการฉีดสารเซซามิน เข้าไปก็พบว่าการฟื้นฟูของเซลล์เริ่มกลับคืนมาและได้ทดสอบด้วยการฉีดสารเซซามินเข้าไปในไข่ไก่ปกติ แล้วเมื่อเวลาผ่านไป 6 ชั่วโมงถึงฉีดสารพิษ หรือเซลล์มะเร็งเข้าไป ก็พบว่ามีการปกป้องเซลล์ได้มากกว่าไข่ไก่ที่ไม่ถูกฉีดสารเซซามินอย่างเห็นได้ชัด

ข้อแนะนำและข้อควรระวัง

  1. เด็กๆ เองรับประทานงาดำและงาขาวที่พบในอาหารปกติได้โดยไม่น่าจะเป็นอันตรายใด ๆ ส่วนการใช้เพื่อรักษาโรคบางชนิด เช่น อาการ ไอ ควรใช้เพียงช่วงสั้น ๆ โดยให้รับประทานน้ำมันงา 5 มิลลิลิตรก่อนนอนติดต่อกันไม่เกิน 3 วัน
  2. การรับประทานงาดำและงาขาวอาจทำให้ระดับความดันโลหิตลดต่ำเกินไปในผู้ที่มีความดันโลหิตต่ำ
  3. ผู้ป่วยโรคเบาหวานควรระมัดระวังการรับประทานเพราะอาจส่งผลให้ระดับของน้ำตาลในเลือดต่ำเกินไป
  4. เนื่องจากงาดำและงาขาวอาจส่งผลต่อการควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดขณะผ่าตัดหรือหลังจากรับการผ่าตัดแล้ว ก่อนเข้ารับการผ่าตัดใด ๆ จึงควรหยุดรับประทานอย่างน้อย 2 สัปดาห์
  5. ผู้รับประทานบางรายอาจมีอาการแพ้ได้ เช่น ลมพิษ ริมฝีเปลือกตาปากบวมแดง คันจมูก หายใจลำบาก ความดันโลหิตลดลงจนช็อกหมดสติ โดยอาการเหล่านี้อาจเกิดขึ้นทันทีหลังจากรับประทาน 90 นาที
  6. หากรับประทานมากเกินไปจะทำให้เกิดการระบายมากผิดปกติจนนำไปสู่อาการท้องร่วงได้
  7. งาดำอาจเพิ่มความเสี่ยงการเป็นมะเร็งลำไส้ เนื่องจากมีขนาดเล็กมาก เวลารับประทานเข้าไปบางคนอาจเคี้ยวไม่ละเอียดทุกเม็ดแต่เลือกที่จะกลืนเข้าไปเลย ก่อให้เกิดการอุดตันและนำไปสู่มะเร็งลำไส้ได้

การรับประทานงาดำเพื่อให้มีประโยชน์ต่อร่างกายมากที่สุดก็คือการรับประทานเป็นอาหาร แทนที่จะรับประทานที่เป็นสารสกัด โดยวิธีที่ดีที่สุดก็คือการรับประทานด้วยวิธีการเคี้ยวจะได้ประโยชน์มากที่สุด แต่หากเรานำมาโรยใส่ข้าวหรือใส่เครื่องดื่ม ในบางครั้งอาจจะไม่ได้เคี้ยวด้วยซ้ำ จึงทำให้ร่างกายดูดซึมได้ไม่ดีเท่าที่ควรหรือดูดซึมไม่ได้เลย ซึ่งวิธีการรับประทานก็ง่ายๆ ด้วยการนำงาดำมาใส่กับขนมปังโฮลวีตรับประทานทุกเช้าวันละ 10 ช้อนสำหรับผู้สูงอายุ แต่สำหรับคนวัยทำงานก็วันละ 3-4 ช้อนก็เพียงพอแล้ว หรือจะอยู่ในรูปของน้ำเต้าหู้งาดำก็ได้เช่นกัน แต่การรับประทานที่ดีนั้นควรรับประทานอย่างเหมาะสมพร้อมรับประทานให้ครบ 5 หมู่เพื่อให้ร่างกายได้รับประโยชน์อย่างสูงสุดและหลากหลาย

สรุป

นอกจากการรับประทานงาดำแล้ว สามารถนำเอาน้ำมันงามาใช้นวดทาบริเวณที่มีอาการปวดและรักษาเส้นเอ็นที่บาดเจ็บ เพราะน้ำมันงามีสรรพคุณที่ช่วยนำพาสมุนไพรชนิดอื่นๆ ที่ถูกนำมาผสมดูดซึมเข้าไปได้ดีขึ้น สำหรับการเลือกซื้อเมล็ดงาดำควรเลือกซื้อที่สะอาด ไม่มีสิ่งสกปรกเจือปน ไม่ควรซื้อที่ที่แบ่งขายตามร้านขายของชำ เพราะอาจจะเสี่ยงกับมูลแมลงสาบและแมลงอื่น ๆ และไม่ควรซื้อแบบที่บดสำเร็จมาแล้วเนื่องจากอาจมีเชื้อราติดมาด้วย เมื่อซื้อมาใช้แล้วควรเก็บใส่ขวดปิดฝาให้มิดชิด เพราะถ้าหากทิ้งไว้นานโดยไม่ปิดฝาให้มิดชิดจะทำให้มีกลิ่นเหม็นหืนได้

 

ข่าวทั่วไปอื่นๆ ที่น่าสนใจ

ที่มาของบทความ

 

ติดตามอ่านข่าวทั่วไปได้ที่  studiolegalemastrolia.com

สนับสนุนโดย  ufabet369